ใต้เงาเทียนอันสลัวของร้านเล็ก ๆ ริมถนนย่านบางลำพู
สี่สาวไทยกับหนึ่งหนุ่มฝรั่งนั่งรออาหารที่สั่งพรางวิพากษ์วิจารณ์ถึงชื่อของอาหารกันอย่างออกรส
โดยเฉพาะหนุ่มฝรั่งที่ต้องมานั่งฟังการแปลชื่อของอาหารนั้นทั้งขำทั้งทึ่งเพราะแถวบ้านเขานั้นไม่มีการตั้งชื่ออะไรให้มีนัยยะของที่มาที่ไปอะไรขนาดนี้แม่อบเชยรู้สึกปลื้มในความคิดอันแยบยลของบรรพบุรุษเสียจริงที่ท่านมีเวลามานั่งประดิษฐ์คิดชื่อของอาหารให้ลูกหลานได้มานั่งถกกันเล่นเป็นที่เพลิดเพลินเรียก
น้ำย่อยก่อนจะถึงเวลาลงมือจริง
เราเริ่มกันที่
“ข้าวผัดสิบสามห้าง” ซึ่งพอดีมาก่อนจานอื่นค่ะ ทันทีที่ได้ยินชื่อว่า “Fried
Rice of 13 Department Stores” เพื่อนแม่อบเชยก็เขี่ยข้าวเสียจนทั่วจานเลยค่ะ
เพื่อดูว่ามีห้างอะไรบ้างอยู่ในข้าวผัดของเขา แต่ก็ไม่เจอสักห้างไม่ว่าจะเป็น
ดิ เอ็มโพเรียม เซ็นทรัลพลาซ่า หรือว่า เวิร์ลดเทรด เซ็นเตอร์
กระทั่งเดอะมอลล์สาขาใด ๆ ก็ตาม
เลยสงสัยกันว่าแล้วมันมีห้างอะไรล่ะอยู่ในข้าวผัด?
ความจริงนั้น
สมัยก่อนนี้เราจะมีการเรียกชื่ออาหารจานเด็ดของแต่ละย่านโดยเรียชื่อสถานที่พ่วงเข้าไปกับชื่อของอาหาร
เช่น เดี๋ยวนี้เราก็มี ข้าวขาหมูตรอกซุงมีข้าวมันไก่ประตูน้ำ
หมูย่างเมืองตรังนะคะ
แต่ว่าจะไม่มีใครสงสัยเพราะสถานที่ที่พูดถึงนั้นยังร่วมสมัยกับเราอยู่
แต่ถนนสิบสามห้างนั้น
เป็นย่านทันสมัยของคนสมัยก่อนซึ่งคนรุ่นนี้มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเคยเป็นแหล่ง
ช้อปปิ้งของคนทันสมัยและมีร้านขายข้าวผัดเลื่องชื่อจนเรียกกันว่าข้าวผัดสิบสามห้าง
จนตอนหลังก็กลายพันธุ์มาเป็น
ข้าวผัดสูตรสิบสามห้างที่ไปขายที่ไหนก็ใช้สูตรเดียวกันจนได้ชื่อว่า
ข้าวผัดสิบสามห้างเรื่อยมานั่นเองค่ะ
จากนั้นก็มาว่ากันที่ “ก๋วยเตี๋ยวเรือโกฮับ” ค่ะ
ไม่รู้เจ้าไหนเป็นเจ้าแรกเพราะเห็นโกฮับเจ้าเก่าเต็มไปหมด แถมยังมีลูกโกฮับ
หลานโกฮับ เหลนโกฮับเพื่อนโกฮับ ญาติโกฮับกันไปทั้งเมืองเลยค่ะ
และเดี๋ยวนี้ก้าวหน้า ไปอยู่ในซอง”มาม่า”บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเรียบร้อยแล้ว
แม่อบเชยก็ไม่แน่ใจนะคะว่าเป็นสูตรของญาติฝ่ายไหนของโกฮับ
ยังไม่ได้ตามไปจับประเด็นข่าวกันเลยค่ะ รู้แต่ว่าต่อให้
”ก๋วยเตี๋ยวเรือไตตานิค”
มาขายแข่งก็ยากที่จะเอาชนะใจคนไทยที่รักรสชาติอันเข้มข้นของก๋วยเตี๋ยวเรือโกฮับได้
ไม่นาน
”ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ” ก็เดินทางมาถึง
ชื่อน้ำพริกชนิดนี้เล่นเอาอึ้ง ไปหลายนาทีกว่าจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ค่ะ
เพราะเมื่อแปลไปแล้วได้ความว่าNamprink of Embarkation
อันตัวน้ำพริกนั้นไม่ต้องสาธยายกันแล้วเพราะรู้จักพอสมควรแต่ทำไมมันจะต้องลงเรือนี่สิ
กลายเป็นประเด็นกันขึ้นมา ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านอธิบายเอาไว้ว่า
เพราะในสมัยก่อนเวลานั้น เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องไปด้วยเรือ
แถมเรือที่ว่าก็ใช่จะเร็วปรู๊ดปร๊าดเป็นเรือยอร์ชเสียที่ไหน
เร็วไปตามกำลังฝีพายเท่านั้น
ผู้เดินทางก็จึงต้องเตรียมข้าวปลา
อาหารไปรับประทานระหว่างการเดินทางด้วย
น้ำพริกสะดวกในการจัดลงเรือนั้นก็คือน้ำพริกชนิดนี้ เพราะข้นมาก ไม่หกเลอะเทอะ
ตอนแรกๆ ก็ยังไม่มีชื่อหรอกค่ะแต่ไปๆ มาๆ ก็ได้ชื่อว่า ”น้ำพริกลงเรือ”
เพราะนิยมนำไปเป็นเสบียงสำหรับการเดินทางด้วยเรือนั่นเองค่ะ
อีกจานค่ะ เป็น ”น้ำพริกหนุ่ม”
ที่คู่กันมากับแคบหมู เมื่อต้องแปลว่าNamprik of a Young Man
ก็ยิ่งงงกันเข้าไปใหญ่ ทำไมต้อง “YoungMan” ชายแก่ห้ามกินหรืออย่างไร แล้วสาว ๆ
จะกินได้ไหม หรือได้เฉพาะหนุ่ม ๆ ?ความจริงนั้น “น้ำพริกหนุ่ม”
เป็นคำเรียกชื่อตามส่วนประกอบที่เป็น ”พริกหนุ่ม”หรือ พริกที่ยังอ่อน ๆ
อยู่ของคนเมืองเหนือซึ่งจะเรียกอะไรก็ตามที่ยังอ่อนอยู่ว่า”หนุ่ม”
ทั้งนั้นค่ะ
ที่นี้มาถึง
“ผัดเป็ดกระแดะ” ค่ะ อุแม่เจ้า! แม่อบเชยก็งงเหมือนกัน
เพราะดูหน้าตาของเป็ดที่ผัดมานั้นก็เห็นเรียบร้อยดี
ไม่มีจริตจะก้านอะไรมากจนเกินงามไปพอที่จะให้นิยามว่า “กระแดะ” เสียหน่อย
เลยถามพนักงานเสิร์ฟก็ยังไม่ได้ความเพราะเขาเองก็บอกได้แค่ว่ามันประกอบไปด้วยเป็ดกับซ้อสและผักสองสามอย่างเท่านั้นเองค่ะ
แต่หลังจากตักเข้าปากไปสองสามคำ ก็พอจะนึกออกค่ะ ว่าทำไมได้ชื่อนี้
ซึ่งก็เพราะว่าเพื่อนที่แสนจะเรียบร้อยของแม่อบเชยนางหนึ่งอุทานว่า
“อ๊าาา…
อร่อยจัง…ตัวเอ๊ง” นะสิคะ
ไปลงเอยที่ “ผัดผัวเบื่อ” ซึ่งหมายถึงผัดหอยลายใบกะเพรา
และเมื่อมาถึงชื่อนี้แม่อบเชยผู้เป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว
เลยจำต้องบอกศาลาการอรรถาธิบายถึงที่มาที่ไปของอาหารจานนี้ค่ะ
เพราะจนด้วยเกล้าที่จะแปลให้ไม่ขายหน้าห้าบาทหกสลึงจริงๆ และจนเดี๋ยวนี้
เพื่อนฝรั่งของแม่อบเชยก็ยังไม่รู้ว่าทำไม Fried shell with sweet basil
จึงได้ชื่อว่า Fired of husband ‘s boresome เฮ่อ…บรรพบุรุษน่ะบรรพบุรุษ
แม่อบเชยจะสรรเสริญท่านในเรื่องการตั้งชื่ออาหารต่อไปอีกดีไหมคะนี่….
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น